วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2561

หลักการบริหารงานแบบ Kaizen



Kaizen หรือการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องนั้น แบ่งกว้างๆ ออกเป็น 3 ประเภท ตามลักษณะการปรับปรุง คือ
1.การรักษามาตรฐานการปฏิบัติงาน
          ทุกองค์การต้องมีเป็นพื้นฐานแม้ว่าองค์การจะมีมาตรฐานการปฏิบัติงานแต่ในความเป็นจริงก็มีหน่วยงานย่อยไม่น้อยที่ไม่ได้ทำตามมาตรฐานที่มี คำถามคือ ทำไมหรือ ผู้คนจึงไม่ทำตามมาตรฐานที่มี เหตุผลที่พอจะพบในความเป็นจริงคือ
  • ความไม่ทันยุคทันสมัยของมาตรฐาน ที่เป็นเช่นนี้คือการขาดการปรับมาตรฐาน เพราะคิดว่ามาตรฐานเป็นสิ่งที่ปรับไม่ได้ แท้จริงแล้วคิดแบบนี้ถือว่าผิดถนัดเลยครับ มาตรฐานเป็นสิ่งที่คนเขียนขึ้นดังนั้นคนนั่นแหละที่จะต้องปรับแก้ให้ทันสมัย
  • ความที่มาตรฐานนั้นขาดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ปกติมาตรฐานการปฏิบัติงานใดๆต้องมีวัตถุประสงค์ของงานที่ชัดเจน เมื่อชัดเจน ตัวมาตรฐานเองจะเป็นแนวทางที่จะนำพาไปสู่เป้าหมายที่ง่ายขึ้น
  • มาตรฐานขาดความยืดหยุ่น ทำผู้คนที่ปฏิบัติตามรู้สึกอึดอัดในการปฏิบัติ
  • มาตรฐานเป็นเหมือนกฎ ที่พร้อมจะให้แหก เพราะหากใครแหกได้ มักจะเด่น อันเป็นความคิดที่ใช้ในอุตสาหกรรมไม่ได้ (คนไทยก็แปลก ชอบยกย่องคนที่แหกกฎได้ว่า “เก่ง” เช่นยกย่อง ศรีธนญชัย ว่าเป็นคนเก่ง แต่ถ้าพิจารณาให้ดี พบว่า ความเก่งที่ปรากฎเป็นเรื่องเก่งแกมโกง)
  • ความที่ขาดการฝึกอบรม Training ให้เป็นแนวทางเดียวกัน เพราะะลักษณะการฝึกอบรมของอุตสาหกรรมไทยไม่ค่อยมีระบบ แต่เป็นการฝากให้หน้างานอบรมกันเอง เพราะคิดแต่เพียงว่าถ้าใส่คนลงไป งานจะออกมา มากขึ้น อันเป็นการมองเป้าหมายแต่เพียงตัวเลข แต่ขาดการมองภาพรวม ว่า งานเสียจะมีมากขึ้นหรือไม่
2. การปรับปรุงทีละเล็กทีละน้อย
          ในประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ให้ทุกคนในองค์การได้รู้จักการ เลิก ลด เปลี่ยน กระบวนการทำงานที่ไม่เหมาะสม เครื่องจักรที่ซื้อมาแต่ใช้งานไม่เต็มที่ หรือไม่เหมาะกับงาน การจัดเก็บวัสดุ การเคลื่อนย้ายที่มากเกินไป การเคลื่อนไหวที่ทำให้เกิดความเมื่อยล้า การวิเคราะห์หาสาเหตุเล็กน้อยๆที่ทำตามมาตรฐานแล้วก็ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ นับเป็นหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับทุกคน ดังนั้น แต่ละหน่วยงานต้องกลับมาพิจารณาว่าหน่วยงานของตนในแต่ละงาน สามารถปรับปรุงอะไรได้บ้าง หรือสามารถแก้ไขปัญหาอะไรเล็กๆน้อยๆ ได้บ้าง หากบริษัทใด มีมาตรฐานมาก่อน ก็จะทำข้อนี้ง่ายขึ้น
3. การปรับปรุงที่ยกระดับชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ (Breakthrough)
หลักการบริหารงาน          ในประเด็นนี้ เป็นเรื่องที่เป็นการปรับปรุงเรื่องใหญ่ๆ และส่วนมากแล้วผู้ที่จะมาทำการปรับปรุงเรื่องแบบนี้ มักเป็นหน้าที่ของผู้บริหารระดับล่างเป็นต้นไป ใครยิ่งสูงยิ่งต้องปรับปรุงเรื่องใหญ่มากขึ้น เช่น การกำหนดนโยบายใหม่ๆ การเปลี่ยนกระบวนการผลิตใหม่ การวาง line layout การวาง line balancing การกำหนดจำนวนคนในการปฏิบัติงาน การยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า การแก้ไขปัญหาทางการเงิน การสร้างวัฒนธรรมใหม่ๆที่ดีขององค์การ การกำหนดกลยุทธ์ในการสร้างแรงจูงใจที่ดีต่อการทำงาน ฯลฯ


ที่มา : https://th.jobsdb.com/th-th/articles/

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2561

วิทยาการคำนวณ คืออะไร

วิทยาการคำนวณ คืออะไร?


สรุป “วิทยาการคำนวณ” ที่ต่อไปผู้ปกครองและเด็กหนุ่มสาวยุคใหม่ต้องรู้จักกัน

1) “วิทยาการคำนวณ” คือวิชาที่ปรับหลักสูตรมาจากวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ
ต่อไปนี้เด็กตั้งแต่ประถม ถึงระดับมัธยม จะได้ร่ำเรียนกัน ถือว่าเป็นวิชาบังคับนะครับ อยู่ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ พอเปิดเทอมพฤษภาคมปี 2561 ก็เริ่มเรียนแล้ว

2) เนื้อหาของวิทยาการคำนวณจะครอบคลุมวิชาเหล่านี้ในระดับพื้นฐาน
-วิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science: CS)
-เทคโนโลยสารสนเทศและการสื่อสาร (Information Communication Technology: ICT)
-การรู้ดิจิทัล (Digital Literacy: DL)

3) หัวใจของวิชานี้คือ พื้นฐานการคิดเชิงคำนวณ (computational thinking) ที่มี 4 องค์ประกอบสำคัญ
-การแบ่งปัญหาใหญ่ให้เป็นปัญหาย่อย (decomposition)
-การมองหารูปแบบของปัญหา (pattern recognition)
– การคิดเชิงนามธรรม (abstraction)
– ออกแบบขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา (algorithm design)

ซึ่ง 4 องค์ประกอบนี้จะแทรกซึมอยู่ในทุกระดับของหลักสูตร
โดยการคิดเชิงคำนวณไม่ใช่เรื่องของ #โปรแกรมเมอร์ แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องมีทักษะการคิดแบบนี้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ตัวเด็กยุคดิจิทัลในอนาคต

4) วิชานี้ไม่ได้สอนให้เด็กทุกคนกลายเป็น #โปรแกรมเมอร์
แต่สอนให้คิดเป็น และสามารถประยุกต์ใช้วิธีคิดเชิงคำนวณได้กับทุกสาขาอาชีพ
อีกทั้งเนื้อหาคอมพิวเตอร์หรือการเขียนโปรแกรม ถือว่าเป็นเพียงแค่ 1 ใน 3 ของวิทยาการคำนวณเท่านั้น

5) วิชานี้จะทยอยสอนปีละ 4 ชั้น เพื่อให้เด็ก คุณครูได้เรียนรู้และปรับตัวกันทัน
-เริ่มจาก ป.1 , ป.4 , ม.1 และ ม.4
-ปี 2562 จึงเริ่มสอนชั้น ป.2, ป.5, ม.2 และ ม.5
-พอปี 2563 ขยับไปสอนชั้น ป.3 ,ป.6 , ม.3 และ ม.6
-ใช้เวลาสามปีในการสอนจนครบทั้ง 12 ชั้นปี

6) หลักสูตรมีความยืดหยุ่นและให้อิสระกับโรงเรียน สามารถปรับเพิ่มหรือลดจำนวนชั่วโมงได้ตามความพร้อมของนักเรียน

7) ตำรามีคุณภาพสูง ปรับใช้ง่าย
อย่างในระดับประถม เขาออกแบบเป็นแนวการ์ตูน มีตัวละครเป็นหุ่นยนต์ เป็นตัวดำเนินเรื่อง พยายามลดเนื้อหาที่เยอะลงไป ให้เด็กเข้าใจมากยิ่งขึ้น

8) มันไม่ใช่วิชาที่เพิ่มการบ้าน หรือการทำโครงงานให้กับนักเรียน แต่เพิ่มโอกาสในการสร้างสรรค์งานในวิชาอื่นให้มีคุณภาพมากขึ้น

9) การเตรียมความพร้อมของครูผู้สอน
โดย สสวท.ได้จัดอบรมให้ครูคอมพิวเตอร์เมื่อกลางปี 2560 และในช่วงมีนาคม 2561 จะจัดอบรมอีกครั้ง

10) ผู้ปกครองจะช่วยลูกเตรียมตัวได้อย่างไร?
-ป.1 เน้นในเรื่องของการคิดและแก้ปัญหา ไม่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์มากนัก
-ป.4 เริ่มเรียน block programming ด้วยการใช้ scratch
-พอม.ต้น ถึงเริ่มมีการใช้ภาษาอย่าง python ในระดับพื้นฐานที่ไม่ยากและซับซ้อน
-ระดับม.ปลาย จะเน้นการทำโครงงานมากกว่า

11) การวัดผล “เน้นการคิดให้เป็น” มากกว่าการท่องจำ
โดยเด็กเล็กจะวัดผลจากกิจกรรมในห้องเรียนและการสังเกตพฤติกรรม เช่น ให้เขียนขั้นตอนการทำไข่เจียวเพื่อวัดผลเรื่องอัลกอริทึมง่ายๆ

ส่วนเด็กโตจะเริ่มวัดผลแบบข้อเขียน แต่เปิดกว้างและเน้นคิดมากกว่าการท่องจำ

12) วิชานี้ไม่ได้ทำให้ลูกยิ่งติดหน้าจอ ติดเกม หรือโลกโซเชียล

เพราะหัวใจหลักสูตรต้องการ “ให้นักเรียนคิดวิเคราะห์ได้ สามารถตัดสินใจแก้ปัญหาจากข้อมูลได้ และรู้เท่าทันเทคโนโลยี”
ดังนั้นวิชานี้จึงไม่ได้ออกแบบมาให้ลูกยิ่งติดหน้าจอ แต่จะช่วยให้ท่องโลกอินเตอร์เน็ตได้อย่างปลอดภัย และเป็นผู้สั่งงานคอมพิวเตอร์ มากกว่าถูกคอมพิวเตอร์ควบคุ